ย้อนแย้ง ซับซ้อน: สภาวการณ์ของปัญหาแม่น้ำกก สาย รวก โขงปนเปื้อนสารโลหะหนักจากการทำเหมืองแร่ในประเทศเมียนมา

Article

ท่ามกลางความพยายามของโลกในการเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด เมียนมา ประเทศที่เผชิญวิกฤตทางการเมืองยาวนานที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้กลายเป็นเป้าหมายที่ประเทศมหาอำนาจทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อินเดียหรือจีน ต่างพยายามเข้ามาจับจองแหล่งแร่หายาก (rare earth elements) และแร่สำคัญ (critical mineral) ถึงแม้ประเทศเมียนมาจะยังคงมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย แต่ประชาชนเมียนมากลับยังแร้นแค้น เปราะบาง และต้องดิ้นรนท่ามกลางการต่อสู้ของกองกำลังหลายภาคส่วน ในขณะเดียวกัน ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้แผ่ขยายผลกระทบออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยและลาว ที่ต้องเผชิญกับมลพิษจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่ขนาดใหญ่ที่ได้ปนเปื้อนแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาไปแล้ว บทความชิ้นนี้ชวนสำรวจความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เข้ามาเกี่ยวพันกันจนปรับเปลี่ยนสภาพสังคมและก่อความเสียหายต่อระบบนิเวศ

แม่น้ำกก 2568
Teaser Image Caption
แม่น้ำกกในช่วงน้ำท่วม เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2567

บทนำ  

แม่น้ำกกสายรวกเป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง มีต้นน้ำอยู่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ในส่วนของประเทศไทย แม่น้ำกกไหลผ่านจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายก่อนจนบรรจบกับแม่น้ำโขง เส้นทางไหลของแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกกลายเป็นแนวชายแดนระหว่างไทยและเมียนมาก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่สามเหลี่ยมทองคำ อันเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างประเทศลาว ไทย และเมียนมา

แผนที่เส้นทางแม่น้ำ สาย กก รวก โขง ในไทย

วิถีชีวิตของประชาชนในประเทศเมียนมา ลาว ไทย กัมพูชาและเวียดนามต่างพึ่งพาแม่น้ำโขง ทั้งด้านการประมง การเกษตรและชลประทาน การอุปโภคบริโภค รวมถึงการขนส่งและการค้า ในช่วงเมษายนของปี พ.ศ. 2568 ทางการไทยเผยว่า ในแม่น้ำทั้งสามและแม่น้ำโขงมีสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน แม่น้ำกกสายรวกโขงปนเปื้อนสารโลหะหนักจากการทำเหมืองแร่ในประเทศเมียนมายังเป็นปัญหาใหญ่ของประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย โดยยังไม่ได้รับการคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ในทางกลับกันปัญหามลพิษข้ามพรมแดนนี้ได้เผยให้เห็นถึงระดับของปัญหา ที่เริ่มจากประเด็นระดับเขตชายแดนไทยเมียนมา ก่อนที่จะขยายใหญ่กลายเป็นความท้าทายร่วมกันของสังคมไทย และกำลังลุกลามไปอย่างเงียบๆ ถึงประเทศต่างๆ ภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนล่าง 

นอกจากนี้ปัญหาผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ยังสะท้อนถึงประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลกที่ประเทศมหาอำนาจได้เข้ามาเกี่ยวข้องในการแสวงหาแร่หายากมากยิ่งขึ้น บทความชิ้นนี้ต้องการชี้ชวนให้ทำความเข้าใจถึงสภาวการณ์ของปัญหาผ่านสองประเด็นสำคัญที่เกี่ยวพันกันได้แก่ ประเด็นที่หนึ่ง การทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth ElementREE) และแร่สำคัญ (Critical MineralsCTM) ในประเทศเมียนมาเป็นความย้อนแย้งของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานระดับโลก ประเด็นที่สอง ความซับซ้อนของปฏิสัมพันธ์ในอาณาบริเวณพรมแดนไทย เมียนมา จีน และอินเดียที่มีความเฉพาะเจาะจง จนส่งผลให้การพยายามแก้ไขปัญหามีความซับซ้อนตามไปด้วย 

เหมืองแร่ในประเทศเมียนมากับความย้อนแย้งของการเปลี่ยนผ่านพลังงานระดับโลก      

การทำเหมืองแร่มีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของโลก แต่ในขณะเดียวกัน การทำเหมืองแร่ก็ก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ได้กลายเป็นวาระร่วมระดับโลกที่มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่นโยบายนี้มักย้อนแย้งในตัวของมันเองด้วย กล่าวคือในด้านหนึ่ง นโยบายเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเป็นไปเพื่อการปกป้องสิ่งแวดล้อม แต่ในอีกด้านหนึ่ง การทำเหมืองแร่ซึ่งเป็นต้นทางของห่วงโซ่อุปทานแร่ยังคงสร้างปัญหาผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ดั่งกรณีการทำเหมืองแร่ในประเทศเมียนมาที่สร้างปัญหามลพิษข้ามพรมแดนมายังชุมชนในประเทศไทย      การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development) หรือ UNCTAD ได้ชี้ให้เห็นว่าแร่สำคัญ จำนวน 60 ชนิด และแร่หายากจำนวน 17 ชนิด มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการผลิตสินค้าและเทคโนโลยีพลังงานสะอาด UNCTAD จึงได้ชี้แนะประเทศกำลังพัฒนาใช้ประโยชน์จากโอกาสทางการค้าและการเติบโตในช่วงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน[1] ประเทศเมียนมาได้กลายเป็นประเทศที่ก้าวขึ้นมาติดอันดับ1 ใน 5 ผู้ผลิตแร่จำนวนมากที่สุดของโลกอย่างน้อยสองชนิด 

นั่นคือ แร่หายากหนัก (Heavy Rare Earth Elements) หรือ HREE และแร่ดีบุก ซึ่งประเทศเมียนมาเป็นผู้ผลิตแร่หายากหนักมากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก คิดเป็นร้อยละ 10.6 รองจากประเทศจีนอันดับที่หนึ่งร้อยละ 66.3 และประเทศสหรัฐอเมริกาอันดับที่สอง ร้อยละ 13.3 ส่วนแร่ดีบุก ประเทศเมียนมาเป็นผู้ผลิตมากเป็นอันดับที่ 4 ของโลก คิดเป็นร้อยละ 13.9 รองจากประเทศจีนอันดับที่หนึ่ง ร้อยละ 26 และประเทศอินโดนีเซียอันดับสอง ร้อยละ 16.8[2]     

อย่างไรก็ตาม การทำเหมืองแร่หายากและแร่สำคัญในประเทศเมียนมาได้สร้างความย้อนแย้งของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน กล่าวคือนโยบายนี้ได้สร้างผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในทั้งประเทศเมียนมา ประเทศไทย และประเทศในลุ่มน้ำโขง[3]การทำเหมืองแร่หายากที่ปราศจากความรับผิดชอบด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม[4] ในประเทศเมียนมาได้เริ่มต้นขึ้นที่พรมแดนคะฉิ่นกับจีนก่อนที่จะขยายตัวมากขึ้นอย่างรวดเร็ว[5] ไปยังรัฐฉาน ซึ่งอยู่ติดกับรัฐคะฉิ่น ประเทศไทยซึ่งมีพรมแดนติดกับรัฐฉานตะวันออกจึงเริ่มได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ตามมา[6] โดยเมื่อเดือนกันยายน ปี พ.ศ.2567 เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม[7]ใหญ่ในเขตอำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงรายเป็นสัญญาณแรกของปัญหาข้ามพรมแดนที่มาจากการขยายพื้นที่ทำเหมืองแร่ในประเทศเมียนมา โดยเฉพาะในอาณาเขตของรัฐฉานและว้า ดินโคลนมหาศาลทะลักท่วมบ้านเรือนผู้คน จนกระทั่งเดือนเมษายน[8] ปี พ.ศ. 2568 กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเริ่มทำการตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกสายรวกโขง พบว่าในแม่น้ำเหล่านั้นมีสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน[9] มิเพียงแต่แม่น้ำในประเทศไทยเท่านั้นที่ปนเปื้อนสารโลหะหนักจากเหมืองแร่ในประเทศเมียนมา แม่น้ำโขงซึ่งเป็นแม่น้ำระหว่างประเทศของประชาชนในลุ่มน้ำโขงตอนล่างก็ปนเปื้อนด้วยสารโละหนักจากแม่น้ำกกสายรวกที่ไหลลงแม่น้ำโขง รวมถึงการทำเหมืองแร่หายากจำนวนมากในประเทศเมียนมาที่ตั้งอยู่ในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขงเช่นกัน[10] เมื่อเดือนกรกฎาคมของปีนี้ คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission) หรือ MRC ได้แถลงผลการตรวจคุณภาพแม่น้ำโขงล่าสุดพบว่า มีสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำ และแสดงถึงความกังวลต่อสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น[11]

แม่น้ำสาย จ.เชียงราย พรมแดนระหว่างไทยและเมียนมา
แม่น้ำสาย จ.เชียงราย เป็นแนวพรมแดนระหว่างไทยกับเมียนมา ตรวจพบเมื่อเดือนเมษายน 2568 ว่ามีสารโลหะหนักอยู่ในระดับสูงเกินมาตรฐานความปลอดภัย

แต่ทั้งนี้การทำเหมืองแร่ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมในประเทศเมียนมามิใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด ปัญหาผลกระทบการทำเหมืองแร่หายากและแร่สำคัญเป็นปัญหาร่วมระดับโลกเช่นกัน องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาทั้งหลายได้พยายามหาทางออกด้วยการนำเสนอแนวปฏิบัติที่ดีสำหรับการทำเหมืองแร่เพื่อแก้ไขปัญหาความย้อนแย้งดังกล่าว ยกตัวอย่างเช่น องค์การสหประชาชาติได้ออกรายงานชื่อ แนวทางขององค์การสหประชาชาติเพื่อปฏิบัติการด้านแร่ธาตุสำคัญในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน การประชุมด้านการค้าและการพัฒนา (The UN Guidance for Action on Critical Energy Transition Minerals United Nations Conference on Trade and Development (UNCTAD)) ซึ่งนำเสนอรายงานในหัวข้อ แนวทางการตรวจสอบอย่างรอบคอบขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development – OECD) สำหรับห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุที่มีความรับผิดชอบจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งและมีความเสี่ยงสูง (OECD Due Diligence Guidance for Responsible Supply Chains of Minerals from Conflict-Affected and High-Risk Areas)[12] นอกจากนี้ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations - ASEAN) ได้จัดทำรายงานหัวข้อ Strengthening ASEAN Cooperation in Minerals[13] เช่นเดียวกันกับ ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank - ADB) ได้นำเสนอรายงานประเด็นการส่งเสริมความก้าวหน้าของการพัฒนาที่ยืดหยุ่นและยั่งยืนด้านแร่ธาตุสำคัญในเอเชียและแปซิฟิก (Advancing Resilient and Sustainable Development of Critical Minerals in Asia and the Pacific)[14] เป็นต้น

อย่างไรก็ตามข้อเสนอกลไกลเชิงโครงสร้างที่เป็นทางออกปัญหาความย้อนแย้งของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเหล่านี้มีความยุ่งยากในตัวของมันเองอยู่แล้ว มิหนำซ้ำหากพิจารณาถึงบริบทเชิงพื้นที่ของการทำเหมืองแร่ในประเทศเมียนมาที่มีชายแดนติดกับทั้งจีน ไทยและอินเดีย ยิ่งพบความท้าทายที่ฝังตรึงในความสัมพันธ์เชิงอำนาจในการทำเหมืองแร่

เหมืองแร่กับความซับซ้อนของปฏิสัมพันธ์ในอาณาบริเวณพรมแดน

ตำแหน่งที่ตั้งเหมืองแร่ที่ไร้ระเบียบในประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษข้ามพรมแดน ส่งผลให้ปัญหามีความซับซ้อนตามไปด้วย Oscar JMartínez[15] (1994) นักประวัติศาสตร์ด้านชายแดนศึกษาเสนอว่า ในอาณาบริเวณพรมแดนมีปฏิสัมพันธ์หลายรูปแบบ นับจากความสัมพันธ์แบบขัดแย้ง อยู่ร่วมกัน พึ่งพาอาศัยซึ่งกัน ถึงบูรณาการเข้าหากัน ประการสำคัญคืออาณาบริเวณพรมแดนมีชีวิตเป็นของตัวเอง (Border Milieu) เนื่องจากเงื่อนไขการติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงเงื่อนไขความความขัดแย้งและประนีประนอมทางด้านชาติพันธุ์ภายในประเทศ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่มีผู้กระทำการแตกต่างหลากหลายในอาณาบริเวณพรมแดนแบบนี้เป็นเงื่อนไขให้การทำเหมืองแร่มีความเกี่ยวพันกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจหลายระดับอย่างลึกซึ้ง และทำให้การแก้ไขปัญหามีความซับซ้อนตามมายิ่งขึ้น

เหมืองแร่หายากและแร่สำคัญในประเทศเมียนมากระจายตัวจากรัฐคะฉิ่นจนถึงรัฐฉาน แต่เนื่องจากประเทศเมียนมายังคงมีความขัดแย้งและประนีประนอมทางชาติพันธุ์มาอย่างยาวนาน เหมืองแร่ในรัฐคะฉิ่นที่มีพรมแดนติดกับประเทศจีนตกเป็นพื้นที่เป้าหมายแรกของการขุดค้นเอาแร่หายากส่งออกไปยังประเทศจีน กองทัพเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independence Army) หรือ KIA ซึ่งเป็นผู้ครอบครองอาณาบริเวณพรมแดนแห่งนี้ได้ใช้ทรัพยากรที่มีความต้องการสูงนี้ในการต่อรองทางการเมืองและเศรษฐกิจกับประเทศจีน[16] 

ทางด้านรัฐฉานตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ (National Democratic Alliance Army) หรือ NDAA ก็ได้มีการทำเหมืองแร่หายากส่งออกไปยังประเทศจีนจำนวนมาก โดยเหมืองแร่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่เหนือต้นน้ำที่เป็นสาขาของแม่น้ำโขง[17] ส่วนกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army) หรือ UWSA ซึ่งมีศูนย์กลางในรัฐฉานตอนเหนือและมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับจีนทั้งทางการทหารและเศรษฐกิจ ได้ขยายการทำเหมืองแร่จากรัฐฉานตอนเหนือลงมายังภาคตะวันออกที่แม่น้ำไหลลงแม่น้ำโขงเรื่อยมาจนถึงพรมแดนเมียนมาไทย ซึ่งมีการทำเหมืองทองคำและแร่หายากหนักในต้นน้ำสายและกก[18] 

มิเพียงแต่ความขัดแย้งและประนีประนอมทางชาติพันธุ์ที่ยืดเยื้อในเมียนมาที่ได้สร้างความซับซ้อนของการทำเหมืองแร่เท่านั้น ปฏิสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจที่ทั้งมีพรมแดนติดกันไปจนถึงประเทศตะวันตกที่อยู่ไกลออกไป เช่น สหรัฐอเมริกา ต่างพยายามเข้าไปมีส่วนแบ่งในทรัพยากรมูลค่ามหาศาล ส่งผลให้ปัญหาเหมืองแร่มีความซับซ้อนสูงตามไปด้วย จีนเป็นประเทศแรกที่ผูกขาดความได้เปรียบเชิงความสันพันธ์เชิงอำนาจเหนือดินแดนรัฐคะฉิ่นและรัฐฉาน โดยจีนทำการสนับสนุนและทำให้ตัวเองมีอิทธิพลเหนือกองกำลังชาติพันธุ์ จนได้ประโยชน์จากการทำเหมืองแร่ในเมียนมาอย่างยาวนาน[19] องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (The International Energy Agency) หรือ IEA ประเมินว่า ประเทศจีนผลิตแร่ธาตุหายากราวร้อยละ 61 ของการผลิตทั้งโลก และครองสัดส่วนการแปรรูป ร้อยละ 92[20] 

ในขณะที่การแข่งขันด้านความต้องการแร่หายากหนักยังพุ่งสูงต่อเนื่อง ส่งผลให้อินเดียในฐานะที่เป็นประเทศซึ่งมีพรมแดนติดกับรัฐคะฉิ่นของเมียนมา จึงได้แสวงหาลู่ทางเข้าไปตักตวงเอาทรัพยากรแร่หายากหนักในภูมิภาคหลายต่อหลายครั้ง[21] เช่นเดียวกันกับประเทศสหรัฐอเมริกาที่ถึงแม้อยู่ห่างไกลจากประเทศเมียนมา และดำเนินนโยบายคว่ำบาตรประเทศเมียนมา แต่สหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในระหว่างทำสงครามการค้ากับประเทศจีน โดยมีแร่หายากเป็นประเด็นหนึ่งของความขัดแย้ง สหรัฐฯ จึงได้ค้นหาความเป็นไปได้ในการเข้าถึงทรัพยากรในรัฐคะฉิ่นด้วย[22]

ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ความซับซ้อนของปฏิสัมพันธ์ในอาณาบริเวณพรมแดนเมียนมา จีน อินเดีย และไทย เป็นเงื่อนไขสำคัญของการทำเหมืองแร่ ครั้นเมื่อพิจารณาถึงท่าทีของรัฐบาลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ยิ่งทำให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาข้ามพรมแดนมีความซับซ้อนเท่าทวี

เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำ กก สาย รวก โขง
เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำ กก สาย รวก โขง รวมตัวกันที่จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน 2568

เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลกเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกกสายรวกโขงจัดการชุมนุมขึ้นที่จังหวัดเชียงราย มีการยื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลไทย เมียนมา จีนและกองทัพสหรัฐว้าแก้ไขปัญหาแม่น้ำปนเปื้อนสารพิษจาการทำเหมืองแร่ที่ไร้ระเบียบในประเทศเมียนมา[23] รัฐบาลจีนได้ออกมาตอบสนองข้อเรียกร้องของประชาชนไทยด้วยท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ โดยในด้านหนึ่งเสมือนว่าจีนยอมรับในทางพฤตินัยว่ามีนักลงทุนชาวจีนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องทำเหมืองแร่ในประเทศเมียนมาด้วย และมีความยินดีร่วมมือแก้ไขปัญหา โดยโฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยได้โพสต์ใน Facebook Page ของสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ความว่า 

ถาม: เมื่อเร็วๆ นี้ มีรายงานข่าวจากสื่อบางแห่งว่า ปริมาณโลหะหนักของแม่น้ำกก แม่น้ำสายและแม่น้ำอื่นๆ ในประเทศไทยได้เกินมาตรฐาน โดยสงสัยว่าอาจมีสาเหตุจากกิจกรรมการทำเหมืองของบริษัทจีนในประเทศเมียนมา สถานทูตจีนมีความเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้?

“ฝ่ายจีนได้กำหนดให้บริษัทจีนที่อยู่ในต่างประเทศปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศนั้น และดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายและกฎระเบียบโดยตลอด ยินดีที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศต่างๆ ในลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อร่วมกันปกป้องสิ่งแวดล้อมระบบนิเวศและคุณภาพน้ำในลุ่มแม่น้ำโขง”[24]

แต่ภายหลังจากการแถลงครั้งนั้น ประเทศจีนก็มิได้ดำเนินการใดให้เป็นที่ประจักษ์ถึงความจริงใจของฝ่ายจีนในการเป็นผู้นำของภูมิภาคลุ่มน้ำโขง นอกเสียจากการเป็นผู้คอยควบคุมและแสวงหาผลประโยชน์จากการทำเหมืองแร่บนความขัดแย้งภายในประเทศเพื่อนบ้าน และการเป็นผู้นำโลกในการครองส่วนแบ่งตลาดแร่หายากและแร่สำคัญบนฐานการทำธุรกิจที่ปราศจากการคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม

ทางด้านรัฐบาลทหารเมียนมา กองทัพสหรัฐว้า กองทัพเอกราชคะฉิ่นและกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติต่างลอยตัวอยู่เหนือปัญหา จนถึงทุกวันนี้ ยังมิเคยมีใครแสดงท่าทีตอบสนองอย่างเป็นทางการต่อข้อเรียกร้องของประชาชนที่ได้รับผลกระทบข้ามพรมแดนและแหล่งน้ำถูกปนเปื้อนที่มาจากเหมืองแร่ที่ตั้งอยู่ในดินแดนของพวกเขา ไม่มีผู้นำทางการเมืองเมียนมาที่ออกมาตอบสนองต่อผลกระทบข้ามพรมแดน ซึ่งมิใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลย เมื่อทั้งรัฐบาลทหารเมียนมาและกองกำลังชาติพันธุ์ในเมียนมาต่างมิเคยตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ในดินแดนภายใต้การควบคุมของพวกเขา 

รัฐบาลทหารเมียนมาแจ้งกับทางการไทยว่า รัฐบาลเมียนมาไม่เคยอนุมัติให้มีการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน ซึ่งเป็นการปฏิเสธต่อข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลทหารเมียนมายังได้แจ้งอีกว่า จากการตรวจสอบคุณภาพน้ำในประเทศเมียนมา พบว่าสารโลหะหนักยังไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานของประเทศเมียนมา 

เมื่อรัฐบาลไทยได้ขอให้มีการตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลทหารเมียนมาตอบรับการเข้าร่วม แต่สำทับกับทางการไทยว่ารัฐบาลกลางอาจไม่สามารถเข้าไปยังพื้นที่บางแห่งได้ เนื่องจากอยู่ในเขตการปกครองของกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์ ทั้งที่เมื่อเดือนกรกฎาคมของปีนี้ รัฐบาลเมียนมาได้มีการประชุมร่วมกับผู้นำของกองทัพสหรัฐว้าที่เมืองปางซาง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของกองทัพสหรัฐว้าเพื่อเตรียมการเลือกตั้งในประเทศเมียนมาที่กำหนดขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2568 ที่จะถึงนี้ 

บทสรุป

บทความชิ้นนี้ได้ชี้เห็นถึงความย้อนแย้งและซับซ้อนของปัญหามลพิษข้ามพรมแดนในกรณีการทำเหมืองแร่ในประเทศเมียนมาที่ส่งผลกระทบให้แม่น้ำกกสายรวกโขงปนเปื้อนด้วยสารโลหะหนัก การทำเหมืองแร่หายากและแร่สำคัญ ในด้านหนึ่ง เป็นการตอบสนองต่อความต้องการระดับโลกในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่สูงขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง กระบวนการทำเหมืองได้สร้างความเสียหายต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเสียเอง

ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่เกิดขึ้นยังมีความสลับซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากตัวเหมืองแร่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณพรมแดนสัมพันธ์กับอำนาจของคนกลุ่มต่างๆ ทั้งที่อยู่ภายในประเทศเมียนมา พรมแดนประเทศเพื่อนบ้าน และมหาอำนาจที่อยู่ไกลออกไป การพิจารณาถึงความยอกย้อนและย้อนแย้งซับซ้อนในประเด็นมลพิษข้ามพรมแดน ทำให้เข้าใจว่าเหตุใดการแก้ไขปัญหานี้จึงมีความยากลำบาก ในแง่นึง การเลือกตั้งครั้งหน้าของประเทศไทยที่คาดว่าจะจัดขึ้นในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 อาจช่วยทำให้เห็นแนวทางจัดการปัญหามลพิษทที่ชัดเจนขึ้นก็เป็นได้ 

อ่านบทความชิ้นนี้ในภาษาอังกฤษได้โดยคลิ๊กที่ลิงค์

___
 

ดร. สืบสกุล กิจนุกร เป็นอาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ประเทศไทย ในด้านปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน อาจารย์ได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อปัญหามลพิษทางน้ำที่รุนแรงในแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับการทำเหมืองแร่หายากที่ไร้การควบคุมในเมียนมา

ข้อสงวนสิทธิ์: ผลงานตีพิมพ์นี้จัดทำขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิไฮน์ริค เบิล มุมมองและบทวิเคราะห์ที่ปรากฏในผลงานนี้เป็นของผู้เขียน และไม่จำเป็นต้องสะท้อนถึงมุมมองของมูลนิธิ ผู้เขียนต้องรับผิดชอบต่อการเรียกร้องความรับผิดชอบใดๆ ต่อการละเมิดลิขสิทธิ์ของกราฟิก ภาพถ่าย รูปภาพ เสียง และข้อความที่ใช้


อ้างอิง

[1] Trade in critical minerals shapes energy transition, digital transformation and industrial development worldwide, https://sdgpulse.unctad.org/critical-minerals/#

[2] Trade in critical minerals shapes energy transition, digital transformation and industrial development worldwide (Ibid.)

[3] Rare Earth Mining in Mainland Southeast Asia — River Basins Dashboard, https://www.stimson.org/2025/rare-earth-mining-in-mainland-southeast-asia-river-basins-dashboard/

[4] 700 local Thais gather to protect Kok River as 24-hour gold mining continues 30 kilometers upstream in southern Mong Hsat, https://shanhumanrights.org/700-local-thais-gather-to-protect-kok-river-as-24-hour-gold-mining-continues-30-kilometers-upstream-in-southern-mong-hsat/

[5] Satellite images and videos reveal 19 rare earth mines in NDAA-controlled area of eastern Shan State near Mekong River, https://shanhumanrights.org/satellite-images-and-videos-reveal-19-rare-earth-mines-in-ndaa-controlled-area-of-eastern-shan-state-near-mekong-river/และ

Mud-laden floods destroy farmlands in Mong Khark downstream of northern UWSA rare earth mines, https://shanhumanrights.org/mud-laden-floods-destroy-farmlands-in-mong-khark-downstream-of-northern-uwsa-rare-earth-mines/

[6] The Wartime Mining Boom Exporting Rare Earths, and Toxins, https://www.nytimes.com/2025/07/11/world/asia/myanmar-mining-thailand-china.html

[7] Thai government study identifies eastern Shan State mining as cause of unprecedented mud damage in Mae Sai during recent flooding, https://shanhumanrights.org/thai-government-study-identifies-eastern-shan-state-mining-as-cause-of-unprecedented-mud-damage-in-mae-sai-during-recent-flooding/

[8] Arsenic Alert in Kok River Prompts Cross-Border Pollution Probe, https://www.nationthailand.com/news/general/40049935

[9] MNRE has taken a collaborative approach to address the contamination in the Kok River and mitigate its impact on local communities, https://www.pcd.go.th/pcd_news/35662/

[10] Satellite images and videos reveal 19 rare earth mines in NDAA-controlled area of eastern Shan State near Mekong River (Ibid.)

[11] MRC Addresses Kok River Water Quality Concerns, Regional Meeting Set for Next Steps, https://www.mrcmekong.org/media-releases/pr_07042025

[12] OECD Due Diligence Guidance for Responsible Supply Chains of Minerals from Conflict-Affected and High-Risk Areas, https://www.oecd.org/en/publications/oecd-due-diligence-guidance-for-responsible-supply-chains-of-minerals-from-conflict-affected-and-high-risk-areas_9789264252479-en.html

[13] OECD Due Diligence Guidance for Responsible Supply Chains of Minerals from Conflict-Affected and High-Risk Areas, https://asean.org/wp-content/uploads/2022/04/Development-Prospects-of-ASEAN-Minerals-Cooperation-DPAMC.pdf

[14] Advancing Resilient and Sustainable Development of Critical Minerals in Asia and the Pacific, https://www.adb.org/publications/development-critical-minerals-asia-pacific

[15] Oscar J. Martínez (1994), Border People: Life and Society in the U.S.-Mexico Borderlands, University of Arizona Press.

[16] Rare Earths and Realpolitik Kachin Control, Chinese Calculus, and the Future of Mediation in Myanmar, https://www.stimson.org/2025/rare-earths-and-realpolitik-future-of-mediation-myanmar/ 

[17] Satellite images and videos reveal 19 rare earth mines in NDAA-controlled area of eastern Shan State near Mekong River (Ibid.) 

[18] Toxic Rare Earth Mining is Ruining Mekong Tributaries in the Golden Triangle, https://www.stimson.org/2025/toxic-rare-earth-mining-is-ruining-mekong-tributaries-in-the-golden-triangle/ 

[19] China risks global heavy rare-earth supply to stop Myanmar rebel victory, https://www.asahi.com/ajw/articles/15891929 

[20] Why the US needs China's rare earths, https://www.bbc.com/news/articles/c1drqeev36qo

[21] Exclusive: India explores rare-earth deal with Myanmar rebels after Chinese curbs, https://www.reuters.com/world/china/india-explores-rare-earth-deal-with-myanmar-rebels-after-chinese-curbs-2025-09-10/ 

[22] Exclusive: Trump team hears pitches on access to Myanmar's rare earths, https://www.reuters.com/world/china/trump-team-hears-pitches-access-myanmars-rare-earths-2025-07-28/